การท่องเว็บไซต์บางครั้งอาจทำให้เราพบเจอกับข้อความพร้อมตัวเลขอะไรบางอย่างสิ่งเหล่านี้เรียกว่า “Error Code” หรือ รหัสข้อผิดพลาด ที่บ่งบอกถึงปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อผู้ใช้พยายามเข้าถึงเว็บไซต์ การทำความเข้าใจ Error Code เหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้พัฒนาเว็บสามารถแก้ไขปัญหาได้รวดเร็ว แต่ยังช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้ดีขึ้นอีกด้วย
HTTP Status Code คืออะไร
HTTP Status Code คือ ตัวเลขชุดหนึ่ง ประกอบด้วยตัวเลข 3 ตัว ซึ่งเป็นมาตรฐานที่มีไว้เพื่อใช้ตอบกลับจากเซิฟเวอร์บนเว็บไซต์ต่างๆ โดยโค้ดเหล่านี้จะเป็นตัวช่วยในการบอกให้เรารู้ถึงสถานะ หรือปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนหน้าเว็บไซต์ หรือเซิฟเวอร์ โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ปัญหาที่เกิดขึ้นจากฝั่งผู้ใช้งาน และปัญหาที่เกิดขึ้นจากฝั่งเซิร์ฟเวอร์
ปัญหาที่เกิดขึ้นจากฝั่งผู้ใช้งาน (client)
ปัญหาหลักๆ ที่เกิดจากฝั่งผู้ใช้งานมักจะแสดง HTTP Status Code ที่ขึ้นต้นด้วย 4xx สาเหตุที่เกิดขึ้นอาจเป็นเพราะการพิมพ์ URL ผิด, การไม่มีสิทธ์ในการเข้าถึงหน้าเว็บไซต์นั้นๆ, การเชื่อมต่อที่นานเกินไป และอื่นๆ ซึ่ง HTTP Status Code ที่เรามักจะพบเจอจะมีดังนี้
400 Bad Request
ความหมาย: ข้อผิดพลาดนี้เกิดขึ้นเมื่อเซิร์ฟเวอร์ไม่สามารถประมวลผลคำขอที่ส่งมาจากผู้ใช้ (client) ได้ เนื่องจากคำขออาจไม่ถูกต้อง หรือมีการส่งข้อมูลที่ไม่เป็นไปตามรูปแบบที่กำหนดไว้
วิธีการแก้ไข: ผู้ใช้ (client) สามารถลองรีเฟรชหน้าเว็บ หรือล้างแคช และคุกกี้ หากเป็นจากฝั่งเซิร์ฟเวอร์ ควรตรวจสอบโค้ดและฟอร์แมตข้อมูลที่รับเข้ามา
401 Unauthorized
ความหมาย: ข้อผิดพลาดนี้หมายความว่าผู้ใช้ (client) พยายามเข้าถึงหน้าเว็บที่ต้องการ แต่ยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ หรือไม่ได้รับสิทธิ์
วิธีการแก้ไข: ผู้ใช้ (client) ควรตรวจสอบว่าตนเองได้เข้าสู่ระบบเรียบร้อยแล้วหรือไม่ หากเป็นปัญหาจากฝั่งเซิร์ฟเวอร์ ควรตรวจสอบการตั้งค่า และการรับรองสิทธิ์
403 Forbidden
ความหมาย: ผู้ใช้ (client) ไม่มีสิทธิ์เข้าถึงหน้าเว็บที่ต้องการ แม้ว่าจะได้รับการรับรองความถูกต้องแล้วก็ตาม
วิธีการแก้ไข: ผู้ดูแลระบบควรตรวจสอบการตั้งค่าการอนุญาตให้เข้าถึงไฟล์ หรือไดเรกทอรี และผู้ใช้ควรติดต่อผู้ดูแลระบบเพื่อแจ้งปัญหาที่เกิดขึ้น
404 Not Found
ความหมาย: ข้อผิดพลาดนี้บ่งบอกว่าเซิร์ฟเวอร์ไม่พบหน้าเว็บที่ผู้ใช้ (client) ร้องขอ
วิธีการแก้ไข: ผู้ใช้ (client) สามารถตรวจสอบ URL ว่าถูกต้องหรือไม่ และผู้พัฒนาควรตรวจสอบลิงก์เสีย และสร้างหน้า 404 ที่มีประโยชน์เพื่อนำผู้ใช้ (client) ไปยังหน้าอื่น ๆ ของเว็บไซต์
ปัญหาที่เกิดขึ้นจากฝั่งเซิร์ฟเวอร์ (server)
ปัญหาหลักๆ ที่เกิดจากฝั้งเซิร์ฟเวอร์ที่มักจะแสดง HTTP Status Code ที่ขึ้นต้นด้วย 5xx ซึ่งสาเหตุที่เกิดขึ้นนั้นเป็นไปได้หลายอย่าง แต่ที่จะพบเจอกันบ่อยๆ จะมีดังนี้
500 Internal Server Error
ความหมาย: เกิดจากปัญหาภายในเซิร์ฟเวอร์ที่ทำให้ไม่สามารถประมวลผลคำขอได้
วิธีการแก้ไข: ผู้พัฒนาควรตรวจสอบเซิร์ฟเวอร์โลจิก โค้ดที่รันอยู่ และตรวจสอบการตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์เพื่อระบุปัญหา
502 Bad Gateway
ความหมาย: เกิดจากการที่เกตเวย์ หรือพร็อกซีได้รับการตอบกลับที่ไม่ถูกต้องจากเซิร์ฟเวอร์ต้นทาง
วิธีการแก้ไข: ตรวจสอบการตั้งค่าเครือข่ายและการเชื่อมต่อระหว่างเซิร์ฟเวอร์ เพื่อให้แน่ใจว่าการสื่อสารระหว่างเซิร์ฟเวอร์ทำงานได้ปกติ
503 Service Unavailable
ความหมาย: เซิร์ฟเวอร์ไม่สามารถให้บริการได้ชั่วคราว อาจเกิดจากการที่เซิร์ฟเวอร์มีการโหลดสูง หรืออยู่ระหว่างการบำรุงรักษา (maintenance)
วิธีการแก้ไข: ผู้ดูแลระบบควรตรวจสอบโหลดเซิร์ฟเวอร์ และจัดการบำรุงรักษา (maintenance) ในช่วงเวลาที่ผู้ใช้น้อยที่สุด
วิธีการป้องกันและจัดการกับ Error Code
- ตรวจสอบลิงก์ภายใน: ควรตรวจสอบลิงก์ภายในเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการเกิด 404 Error
- ทดสอบเว็บไซต์ก่อนเผยแพร่: การทดสอบการทำงานของเว็บไซต์อย่างครบถ้วนก่อนเผยแพร่จะช่วยลดการเกิด Error Code
- การตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์ที่เหมาะสม: การตั้งค่าที่ถูกต้องช่วยป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการเชื่อมต่อและการตอบสนองของเซิร์ฟเวอร์
สรุป
การรู้จักและเข้าใจ Error Code ที่พบบ่อยเป็นสิ่งที่ช่วยให้เราแก้ไขปัญหาได้เร็วขึ้นและช่วยปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้บนเว็บไซต์ อย่าลืมตรวจสอบและแก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างรวดเร็วเพื่อให้เว็บไซต์ของเราทำงานได้อย่างราบรื่น
แหล่งอ้างอิง: